|
|
|
||
|
หลวงพ่อวัชระ เอกวัณโณ
เปิดโลกธรรม ลดแรงกรรม แก้ไขกรรมของสัตว์โลก
ด้วยพลังธาตุธรรม เมตตาบารมี
ณ วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เปิดโลกธรรม ลดแรงกรรม แก้ไขกรรมของสัตว์โลก
ด้วยพลังธาตุธรรม เมตตาบารมี
ณ วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เรื่อง รักษาโรคแก้กรรม
การบำบัดรักษาของหลวงพ่อวัชระนั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นเวทย์มนต์หรือใช้ทางไสยศาสตร์ ในการบำบัดรักษา ทั้งหมดที่กระทำการบำบัดให้ผู้เจ็บป่วยนั้น เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม ด้วยการขอบิณฑบาตร โดยอาศัยการแผ่เมตตาธรรมเป็นหลักสำคัญ เพื่อโปรดให้ทุกฝ่ายได้ให้การอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน อันจะทำให้กรรมนั้นเป็นโมฆะ คือ ไม่มีผลที่จะมาอาฆาตพยาบาทก่อกรรมก่อเวรสร้างภพสร้างชาติกันอีกต่อไปนั่นเอง
บางท่านเห็นวิธีการบำบัดรักษาแล้วก็ทึ่ง แต่บางท่านก็งง ว่าหลวงพ่อรักษาด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ผลค่อนข้างแน่นอน เว้นแต่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่ยอมอโหสิกรรมให้เท่านั้น เพราะผู้ที่เจ็บป่วยทั้งในและนอกประเทศได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้หายจากการเจ็บป่วยด้วยวิธีการใช้บารมีธาตุธรรมนี้จนหายนับเป็นจำนวนพัน เพราะในแต่ละวันสูงสุดเคยรักษาถึง 50 คนต่อวัน ค่าเฉลี่ย 20 คน ต่อวัน ซึ่งนับได้ว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงมาก
การแก้ไขวิบากกรรมนี้จำเป็นต้องใช้จิตที่มั่นคง แผ่เมตตาธรรมออกไป ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้พลังจิตค่อนข้างมากบางวันตั้งแต่ 7 โมงเช้า – 1 ทุ่มก็บ่อยครั้ง ได้พักตอนฉันเพลเท่านั้น นอกนั้นก็ทำพิธีสงเคราะห์ญาติโยมเป็นส่วนใหญ่ เห็นแล้วน่าเหนื่อยแทน ท่านเปรียบเทียบว่าการใช้พลังจิตก็เหมือนกับการใช้แบตเตอรี่ ใช้มากพลังก็หมดได้เช่นกัน จำเป็นต้องชาร์ทแบตบ่อย ๆ พลังจึงเต็มและได้ผล
บางครั้งจิตเหนื่อยมาก เมื่อเพ่งพลังจิตเข้าช่วยคนไข้ บางทีช่วงบ่าย ๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย แทบจะหลับไปในขณะทำพิธี แต่ด้วยจิตที่สงสารคนป่วย หลวงพ่อก็พยายามรั้งสติกำหนดจิตให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าใครไปที่วัดบ่อย ๆ คงจะสังเกตเห็นหลวงพ่อเหมือนหลับกลางอากาศบ่อยครั้ง ก็ด้วยสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง
หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ หากอายุมากกว่านี้อาจจะต้องพักผ่อนหรือหยุดการรักษาด้วยวิธีนี้ เว้นแต่จำเป็น
การบำบัดรักษาของหลวงพ่อวัชระนั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นเวทย์มนต์หรือใช้ทางไสยศาสตร์ ในการบำบัดรักษา ทั้งหมดที่กระทำการบำบัดให้ผู้เจ็บป่วยนั้น เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม ด้วยการขอบิณฑบาตร โดยอาศัยการแผ่เมตตาธรรมเป็นหลักสำคัญ เพื่อโปรดให้ทุกฝ่ายได้ให้การอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน อันจะทำให้กรรมนั้นเป็นโมฆะ คือ ไม่มีผลที่จะมาอาฆาตพยาบาทก่อกรรมก่อเวรสร้างภพสร้างชาติกันอีกต่อไปนั่นเอง
บางท่านเห็นวิธีการบำบัดรักษาแล้วก็ทึ่ง แต่บางท่านก็งง ว่าหลวงพ่อรักษาด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ผลค่อนข้างแน่นอน เว้นแต่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่ยอมอโหสิกรรมให้เท่านั้น เพราะผู้ที่เจ็บป่วยทั้งในและนอกประเทศได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้หายจากการเจ็บป่วยด้วยวิธีการใช้บารมีธาตุธรรมนี้จนหายนับเป็นจำนวนพัน เพราะในแต่ละวันสูงสุดเคยรักษาถึง 50 คนต่อวัน ค่าเฉลี่ย 20 คน ต่อวัน ซึ่งนับได้ว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงมาก
การแก้ไขวิบากกรรมนี้จำเป็นต้องใช้จิตที่มั่นคง แผ่เมตตาธรรมออกไป ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้พลังจิตค่อนข้างมากบางวันตั้งแต่ 7 โมงเช้า – 1 ทุ่มก็บ่อยครั้ง ได้พักตอนฉันเพลเท่านั้น นอกนั้นก็ทำพิธีสงเคราะห์ญาติโยมเป็นส่วนใหญ่ เห็นแล้วน่าเหนื่อยแทน ท่านเปรียบเทียบว่าการใช้พลังจิตก็เหมือนกับการใช้แบตเตอรี่ ใช้มากพลังก็หมดได้เช่นกัน จำเป็นต้องชาร์ทแบตบ่อย ๆ พลังจึงเต็มและได้ผล
บางครั้งจิตเหนื่อยมาก เมื่อเพ่งพลังจิตเข้าช่วยคนไข้ บางทีช่วงบ่าย ๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย แทบจะหลับไปในขณะทำพิธี แต่ด้วยจิตที่สงสารคนป่วย หลวงพ่อก็พยายามรั้งสติกำหนดจิตให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าใครไปที่วัดบ่อย ๆ คงจะสังเกตเห็นหลวงพ่อเหมือนหลับกลางอากาศบ่อยครั้ง ก็ด้วยสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง
หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ หากอายุมากกว่านี้อาจจะต้องพักผ่อนหรือหยุดการรักษาด้วยวิธีนี้ เว้นแต่จำเป็น
จริง ๆ" ลูกศิษย์หลายท่านเดาว่าหลวงพ่อวัชระอายุประมาณ 40 ปี แต่จริงๆแล้ว
หลวงพ่ออายุเกือบเท่าคนวัยเกษียณอายุแล้ว ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อท่านจะยังคงรับกรรมของพวกเราไหวหรือไม่ก็ไม่ทราบ
ถ้าเปรียบเทียบ ผู้กำลังเจ็บป่วยรับกรรม เป็นเสมือน " คนกำลังจมน้ำ " ผู้ปฏิบัติธรรมก็เปรียบเสมือน " ผู้ที่ว่ายน้ำเป็น หรือกำลังเรียนรู้การว่ายข้ามวัฎสงสาร" ให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ........ ซึ่งปณิภาณของหลวงพ่อวัชระคือ "การสร้างคน หรือการสอนคนให้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง " ท่านจึงได้สร้างศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรม , ลานปฏิบัติธรรมแนวธรรมชาติ และห้องพักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม แต่ด้วยวัดอยู่ห่างไกลและขาดบุคคลากรจึงยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร ประกอบกับเมตตาธรรมที่ไม่อาจทนดูคนจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อจึงใช้ในการสงเคราะห์ญาติโยมโดยไม่แบ่งแยกระดับชั้น
หวังว่าเรื่องราวต่างๆคงตอบคำถาม ที่อยู่ในใจของบางคน ให้หายสงสัยได้
ถ้าเปรียบเทียบ ผู้กำลังเจ็บป่วยรับกรรม เป็นเสมือน " คนกำลังจมน้ำ " ผู้ปฏิบัติธรรมก็เปรียบเสมือน " ผู้ที่ว่ายน้ำเป็น หรือกำลังเรียนรู้การว่ายข้ามวัฎสงสาร" ให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ........ ซึ่งปณิภาณของหลวงพ่อวัชระคือ "การสร้างคน หรือการสอนคนให้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง " ท่านจึงได้สร้างศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรม , ลานปฏิบัติธรรมแนวธรรมชาติ และห้องพักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม แต่ด้วยวัดอยู่ห่างไกลและขาดบุคคลากรจึงยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร ประกอบกับเมตตาธรรมที่ไม่อาจทนดูคนจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อจึงใช้ในการสงเคราะห์ญาติโยมโดยไม่แบ่งแยกระดับชั้น
หวังว่าเรื่องราวต่างๆคงตอบคำถาม ที่อยู่ในใจของบางคน ให้หายสงสัยได้
เหนือกรรมคือเหนือโลก
|
สังคมมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของสัตว์โลกที่มีกรรมที่อาศัยถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อชดใช้บาปกรรมที่เคยได้กระทำมาและให้โอกาสได้แก้ไขชีวิตใหม่ บ่อยครั้งที่มนุษย์มักกล่าวกันว่า
“เกิดมาเพื่อใช้กรรม” แต่มีส่วนหนึ่งที่เราคิดไม่ถึงว่า
“เกิดมาเพื่อให้โอกาสมาสร้างกรรมดี” ภพมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง
“อบายภูมิ-เทวภูมิ” ดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏสงสารที่หมุนเวียนดั่งกงล้อต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด ภพภูมิต่าง ๆ จึงเป็นที่รองรับสภาพของสัตว์โลกที่ยังดำรงตนลุ่มหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปทาน เวียนเกิดเวียนดับชดใช้กรรมจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งสืบเนื่องกันไปไม่รู้จักจบ จึงวนเวียนอยู่ในกองทุกข์
เพราะความโลภ โกรธ หลง เป็นมูลเหตุ
จนกว่าจะรู้จักธรรมะอันเป็นแนวทาง ลด ละ เลิก กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายให้สิ้นไป
ปัจจุบันวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เจริญรุดหน้าไปมากสามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้มีอัตราการเสียชีวิตลดน้อยลงจากเดิม แต่เราคงจะเคยได้ยินหรือพบเห็นว่า ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่แพทย์รักษาแล้วไม่หาย แม้จะเอ็กเรย์หรืออุลตราซาวน์บางทีก็ยังไม่พบสาเหตุแห่งการเจ็บป่วย และในที่สุดก็ต้องถูกผ่าตัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หายแต่อย่างใด บางรายก็อาจเสียชีวิตในที่สุด
ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป
เราเคยคิดสงสัยบ้างไหมว่า การวินิจฉัยโรคของแพทย์ให้ผลคลาดเคลื่อนแม้ในแพทย์ด้วยกันเอง เราอาจจะเชื่อในเทคโนโลยี่ เชื่อในกระบวนการรักษาพยาบาลที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ การวิเคราะห์ที่ประกอบไปด้วยหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่แพทย์ไม่อาจสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต ดังนั้นบางครั้งทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ จึงต้องพึ่งพาหลักการของศาสนาว่าด้วยเรื่องของ “กรรม” กฏของธรรมชาติที่ดูแลความสมดุลของมนุษย์ด้วยความยุติธรรมเที่ยงแท้และแน่นอน แม้มนุษย์จะมีวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่า “กฎแห่งกรรม” จะถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเวียนว่ายตายเกิด หมุนเวียนกันไปตามแรงกรรม ทำกรรมดี ก็ย่อมได้รับผลที่ดี ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลในทางชั่ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่จะทำดีอย่างเดียวหรือชั่วอย่างเดียวไปตลอดชีวิต ย่อมมีดีและชั่วคลุกเคล้ากันไป เพียงแต่น้ำหนักแห่งกรรมตัวใดจะมากกว่ากัน ย่อมจะทำให้ต้องรับวิบากกรรมตัวที่หนักไปก่อน แต่ถ้าใครละกรรมชั่วทำตัวอยู่เหนือกรรมดีได้ ก็จะสามารถอยู่เหนือกรรมทั้งหมดได้ เพราะเมื่อสามารถละกรรมชั่ว คือ ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วจะไม่กระทำเด็ดขาด ส่วนอยู่เหนือกรรมดี คือ ทำแต่กรรมดีแต่ไม่ได้ยึดติด หรือถือว่าตัวเองดีเหนือคนอื่น ย่อมทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานได้นั่นเอง จึงสามารถกล่าวได้ว่า ผู้ที่อยู่เหนือกรรมดีและกรรมชั่วทั้งปวง คือผู้อยู่เหนือโลกอย่างแท้จริง พรหมลิขิต ใครเล่าที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตที่แท้จริงของเรา เทพเจ้าเหล่าเทวา อินพรหม ยมราช หรือ แผ่นฟ้าและแผ่นดิน บ่อยครั้งที่เรามักพูดกันติดปาก “สุดแท้แต่พรหมลิขิต” ความเข้าใจเช่นนี้ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก เพราะนั่นเป็นเพียงคำเปรียบเทียบเท่านั้นเอง ถ้าความจริงเป็นเช่นที่ว่า เทพ พรหม เหล่าเทวา สามารถกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ทุกรูปทุกนามได้ก็คงจะดี มนุษย์ทั้งหลายคงประกอบไปด้วย พรหมวิหาร 4 หรือ หิริโอตตัปปธรรม ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้เป็น พรหม หรือ เทวดา โลกนี้ก็คงจะไม่มีความโหดร้ายปรากฏให้เห็น คงอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทำให้ทุกคนทำแต่ความดีจะได้กลับไปอยู่เบื้องบนด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นถ้า พรหมไม่ได้ลิขิต และคงไม่ใช่เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์ใดแล้ว ก็อะไรเล่าที่ทำให้ชีวิตมนุษย์หมุนเวียนเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้ คำตอบดูเหมือนจะง่าย แต่จะเข้าใจกันหรือเปล่าไม่ทราบมนุษย์เองนี่แหละเป็นผู้กำหนดและลิขิตชีวิตตนเอง วิถีชีวิตมนุษย์จะดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเกิดจากการกระทำของตนเองเป็นเหตุเบื้องต้นทั้งสิ้น ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น ทุกคนที่เกิดมาย่อมเคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาด้วยกันทุกคน จะโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี แม้ความผิดพลาดอันนั้นจะเกิดจากเงื่อนไขของวิบากกรรมในอดีตชาติ แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าวิบากกรรมเหล่านั้นจะไม่สามารถแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้
ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของคนเราในแต่ละวัน ที่เป็นสุขหรือทุกข์ก็ดี
มันย่อมมิใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นกรรมลิขิต
ความแตกต่างในฐานะความเป็นอยู่
อุปนิสัยใจคอ และความเกี่ยวข้อง
เกี่ยวเนื่องของผู้คนนั้น ย่อมเกิดจากกรรมในอดีตชาติส่งผลทั้งนั้น บางคนเกิดมาสมบูรณ์พูลสุข
บางคนยากไร้ บางคนรูปร่างหน้าตาสวย
บางคนขี้เหร่ ชีวิตจึงไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง เพราะบางทีรวยจริงแต่ไม่มีความสุข บางคนสวยมากแต่ประสพปัญหาชีวิตครอบครัว จนตัดสินใจทำลายตัวเองก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ความพอดีของมนุษย์แต่ละรูปแต่ละนามจึงยากกำหนดให้เป็นมาตรฐานได้ ย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุแห่งกรรม ที่จะส่งผลมาถึงปัจจุบัน
และสืบเนื่องต่อไปถึงอนาคต
ดังนั้นเรื่องราวที่จะได้นำเสนอต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงเหตุและผลแห่งกรรม ผ่านจากเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีตัวตนอยู่ในปัจจุบัน และจากประสพการณ์ การวิเคราะห์ เรื่องราวที่ได้กลั่นกรองอย่างมีเหตุมีผลที่อธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะชีวิตไม่ใช่เครื่องทดลอง วันเวลาที่ผ่านไปย่อมมีค่า รีบศึกษาและทำความเข้าใจ หาเหตุและผล หาทางแก้ไขชีวิตจิตวิญญาณให้พ้นจากความทุกข์ เข้าสู่หนทางแห่งความสุขที่แท้จริง และในแนวทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามหลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าไปคิดว่า มนุษย์จะตัดกรรมของตนเองได้ง่าย ๆ อย่าคิดว่าเพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วจะถึง หรือเจ้ากรรมนายเวรยอมรับง่าย ๆ เงินทองซื้อกรรมไม่ได้ ในเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแนวทางที่ท่านอาจจะแก้ไขวิบากกรรมของตนเองให้เบาบางหรือหายไปได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องจ่ายเงินจนเกินกำลังของตนเอง เพียงแต่ถ้าท่านเชื่อและศรัทธาในเรื่องราวเหล่านี้ เราจะชี้แนะหนทางนั้นแก่ท่าน |