Tuesday, 12 June 2012

หน้าที่ของลูก ต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ 5 ประการ

หน้าที่ของ “ลูก” ต้องปฏิบัติต่อแม่พ่อ ๕ ประการ




ที่วัดสมัยเมื่อบรรพชาอุปสมบทอยู่ ท่านเจ้าอาวาสมักเทศนาเกี่ยวกับหน้าที่ ของลูกที่ต้องปฏิบัติต่อผู้ให้กำเนิดทั้งสองท่านอยู่เนืองๆ จึงขอนำมาบอกกล่าวแม้ไม่ครบถ้วนตามที่ท่านเทศนานั้น ก็ไม่ตกหล่นไปในประเด็นเนื้อความสำคัญ
จึงขออาสานำมาบอกกล่าวกัน ด้วยภูมิปัญญาเท่าที่มีนี้ ด้วยความมุ่งหวังให้ลูกทุกคนได้มีหลักยึดพื้นฐานที่จะปฏิบัติต่อเทวดาทั้งสองคือแม่และพ่อ

วันแม่แห่งชาติ วันพ่อแห่งชาติ ของทุกๆปี เรามีกิจกรรมให้ลูก ได้มีโอกาสแสดงออกถึงความรักความเคารพต่อแม่พ่อ โดยจัดเป็นกิจกรรมต่างๆกันไป ล้วนเป็นแรงส่งเสริมให้เกิดการฉุกคิดถึงพระคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างดี
การคิดถึงพระคุณท่านนั้นดีแล้ว แต่จะให้ดียิ่งๆขึ้นไป ต้องพร้อมไปด้วยการปฏิบัติต่อท่านตลอดไปชั่วชีวิต ในสิ่งที่ลูกพึงกระทำ นั่นคือทำหน้าที่ของลูกที่พึงปฏิบัติต่อผู้ให้กำเนิดทั้งสอง

ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดงหน้าที่ของลูกพึงปฏิบัติต่อแม่และพ่อ ๕ ประการ ดังนี้

๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว ต้องเลี้ยงท่านตอบแทน ข้อนี้มิได้หมายถึงว่าแม่พ่อเลี้ยงเรามา ก็เพื่อหวังมาเอาคืนในภายหลัง ความรู้สึกนั้นไม่มีแน่นอนกับแม่พ่ออย่างแท้จริง แต่ให้เราคิดว่าถ้าเราไม่เลี้ยงท่านแล้วใครจะเลี้ยง เหมือนเช่นเราครั้งเป็นทารก ถ้าหากท่านไม่เลี้ยงเราใครจะเลี้ยง แม้นปล่อยทิ้งๆขว้างๆก็คงลำบากยากแค้นไปแล้ว

๒.ทำกิจธุระของท่าน งานของท่านที่ได้ทำมาแล้ว และยังคงดำเนินการอยู่ หรือภาระใดๆที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ลูกควรต้องสอบถาม แสดงน้ำใจทั้งช่วยท่านแบ่งเบาภาระ เพราะอายุท่านก็เยอะแล้ว คนอื่นทำก็คงไม่ทำให้ท่านสบายใจได้มากเท่ากับลูกของท่าน

๓.ดำรงรักษาวงศ์สกุล ให้คงอยู่และไม่เสื่อมเสียหาย การได้กำเนิดลูกมาคนหนึ่ง อย่างน้อยก็หวังให้ได้สืบทอดวงศ์สกุล ไม่ให้สังคมได้ดูแคลนว่าลูกบ้านนั้นบ้านนี้ไปทำเสื่อมเสีย จนต้องออกมาถามว่า ลูกใครหนาช่างเป็นเช่นนี้ การที่จะให้สกุลคงอยู่ได้ลูกจึงต้องคบหาแต่เพื่อนที่ใฝ่ดี ไม่ชักชวนไปในทางเสื่อม โดยเฉพาะต้องทำหน้าที่ของตน ในเบื้องต้นคือเชื่อฟังคำสั่งสอนท่าน เรียนและศึกษาตามหน้าที่อย่างสมบูรณ์ แม้ไปทำงานจะมีครอบครัว ก็ต้องปรึกษาท่านเพื่อให้ได้มาซึงสามีภรรยาที่ดี

๔.ปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นผู้สมควรรับมรดก มรดกสมบัติที่ท่านมีอยู่ สุดท้ายก็มอบให้กับผู้เป็นลูก แต่ก็จะเป็นผู้รับมรดกนั้น ต้องทำตนให้สมควรรับ เพื่อให้ท่านได้สบายใจว่าสมบัตินี้จะไม่สูญไปเมื่อมอบให้ นั้นคือต้องเป็นผู้อยู่ในศีล ในธรรม อย่างน้อยก็ศีล ๕ นอกจากนั้นก็ต้องศึกษาวิชาการที่เหมาะสมกับมรดกนั้นว่า จำเป็นต้องใช้ศิลปวิทยาใดบ้างจึงจะรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ก็ต้องศึกษาเรื่องนั้นๆอย่างเต็มที่

๕.เมื่อท่านล่วงลับ ทำบุญอุทิศให้ เป็นหน้าที่ของลูกโดยตรง ที่จะต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เพราะนอกจากจะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้ว ยังได้รู้จักบริจาคทาน เข้าหาพระ เข้าหาวัด นี้เองที่จะเป็นสิ่งไม่ให้เราเสื่อมไป แม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว

หากแม้นวันนี้ไม่มีแม่พ่ออยู่กับเราแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้ที่ปกครองดูแลเรานั้นแหละคือแม่พ่อของเราเช่นกันที่เราก็ควรต้องปฏิบัติไม่ต่างกัน เหนือสิ่งอื่นใดเราคนไทยทุกคนมี แม่พ่อ คนเดียวกัน ที่ทุกคนในพื้นแผ่นดินไทยรับรู้ด้วยใจว่าท่านคือ แม่และพ่อแห่งแผ่นดิน
นอกจากหน้าที่ทั้ง ๕ ที่ลูกควรทำกับพ่อแม่แล้ว ความสามัคคีคือสิ่งสำคัญที่แม่และพ่อแห่งแผ่นดิน หวังให้ลูกหลานไทยก่อเกิดและรักษา นั่นคือ รู้รักสามัคคี

ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ นอกจากดอกมะลิ หรือพวงมาลัยที่จะให้ท่านแล้ว ก็ขอฝากหน้าที่ทั้ง ๕ นี้ไว้เป็นพื้นฐานหน้าที่ ธรรมะที่เราจะพึงปฏิบัติต่อท่านตลอดไป แล้ว ความเจริญ ต่อท่านและคนรอบข้างรวมถึงประเทศไทย ก็อยู่ไม่ไกล แค่ลงมือทำ
คลิกเพื่อกลับไปหน้าแรก Click to go back Empirebypink

Friday, 8 June 2012

กรรม

Dharmacakra flag (Thailand).svg                                                                 ประวัติศาสนาพุทธ

ศาสดา
พระโคตมพุทธเจ้า
(พระพุทธเจ้า)
จุดมุ่งหมาย
นิพพาน
ไตรรัตน์
พระพุทธ · พระธรรม · พระสงฆ์
ความเชื่อและการปฏิบัติ
ศีล (ศีลห้า) · ธรรม (เบญจธรรม)
สมถะ · วิปัสสนา
บทสวดมนต์และพระคาถา
คัมภีร์และหนังสือ
พระไตรปิฎก
พระวินัยปิฎก · พระสุตตันตปิฎก · พระอภิธรรมปิฎก
หลักธรรมที่น่าสนใจ
ไตรลักษณ์
อริยสัจ ๔ · มรรค ๘ · อิทัปปัจจยตา
นิกาย
เถรวาท · อาจริยวาท (มหายาน) · วัชรยาน · เซน
กรรม (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม - Kamma: action; deed)[1]
  1. อกุศลกรรม (กรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่ว, การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ - Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed)
  2. กุศลกรรม (กรรมที่เป็นกุศล, กรรมดี, การกระทำที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คืออโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ -Kusala-kamma: wholesome action; good deed)

การจำแนกประเภทของกรรม

กรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม กระทำทางกาย วาจา หรือทางใจก็ตาม สามารถจำแนกอีก เป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายแบบ ดังนี้
  • กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) 4 อย่าง
  • กรรมจำแนกตามหน้าที่ของกรรม (กิจจตุกะ) 4 อย่าง
  • กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) 4 อย่าง
  • กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) 4 อย่าง

จำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม

การกระทำทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เป็นฝ่ายดีหรือไม่ดีก็ตาม ย่อมตอบสนองแก่ผู้กระทำ ไม่เร็วก็ช้า เวลาใดเวลาหนึ่ง กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) แสดงกำหนดเวลา แห่งการให้ผลของกรรม มี 4 อย่าง คือ
  1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้
  2. อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
  3. อปราปริเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆไป
  4. อโหสิกรรม หมายถึง กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก

จำแนกตามหน้าที่ของกรรม

กรรมจำแนกตามหน้าที่การงานของกรรม (กิจจตุกะ) กรรมมีหน้าที่ ที่จะต้องกระทำสี่อย่าง คือ
  1. ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด กรรมแต่งให้เกิด
  2. อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนับสนุน กรรมที่ช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติม ต่อจากชนกกรรม
  3. อุปปีฬิกกรรม หมายถึง กรรมบีบคั้น กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน
  4. อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน กรรมที่แรงฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมทั้งสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว

จำแนกลำดับการให้ผลของกรรม

กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง
  1. ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม
  2. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม
  3. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
  4. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมอื่นที่เคยทำไว้แล้ว นอกจากกรรม 3 อย่างข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมนี้ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป (กตตฺตา-สิ่งที่เคยทำไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม) กตัตตากรรมนี้ ในตำราทางพุทธศาสนาหลายแห่ง (เช่น หนังสือกรรรมทีปนี พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลธรรม และหนังสือพุทธธรรมฉบับขยายความ) ได้บรรยายไว้ว่า หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล

จำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม

กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) แสดงที่ตั้งแห่งผลของกรรมสี่อย่าง เป็นการแสดงกรรมโดยอภิธรรมนัย (ข้ออื่นๆข้างต้นเป็นการแสดงกรรมโดยสุตตันตนัย)
  1. อกุศลกรรม
  2. กามาวจรกุศลกรรม
  3. รูปาวจรกุศลกรรม
  4. อรูปาวจรกุศลกรรม

กรรมดำ กรรมขาว

นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วแล้ว ยังมีการอธิบายกรรมอีกนัยหนึ่ง โดยอธิบายถึงกรรมดำกรรมขาว จำแนกเป็นกรรม 4 ประการ คือ
  1. กรรมดำมีวิบากดำ ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา
  2. กรรมขาวมีวิบากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็งอยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ
  3. กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน
  4. กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำ เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น ผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด

กฎแห่งกรรม

กฎแห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติ ข้อหนึ่ง ที่ว่าด้วยการกระทำ และผลแห่งการกระทำ ซึ่ง การกระทำและ ผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมสมเหตุ สมผลกัน เช่น ทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว เป็นต้น
  • กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่กระทำ
  • กรรมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต และกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังอนาคต
  • กรรมดี-กรรมชั่ว ลบล้างซึ่งกันและกันไม่ได้
  • ถึงแม้ว่าการทำกรรมดีจะลบล้างกรรมชั่วเก่าที่มีอยู่เดิมไม่ได้ แต่มีส่วนช่วยให้ผลจากกรรมชั่วที่มีอยู่เดิมผ่อนลง คือ การผ่อนหนักให้เป็นเบา (ข้อนี้ อุปมาได้กับ การที่เรามีน้ำขุ่นข้นอยู่แก้วหนึ่ง หากเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปแล้ว มิสามารถทำให้น้ำขุ่นกลับบริสุทธิ์ได้ แต่ทำให้น้ำขุ่นข้นนั้นกลับเจือจางลงและใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม)
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้
คลิกกลับสู่หน้า Empirebypink

Monday, 4 June 2012

พ่อแม่รังแกฉัน (บาป 14 ประการของบิดามารดา)

พ่อแม่บางคน (๑) ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

พ่อแม่บางคน (๒)
ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่

พ่อแม่บางคน (๓)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

พ่อแม่บางคน (๔)
ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ

พ่อแม่บางคน (๕)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว

พ่อแม่บางคน (๖)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก

พ่อแม่บางคน (๗)
ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร

พ่อแม่บางคน (๘)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น

พ่อแม่บางคน (๙)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร

พ่อแม่บางคน (๑๐)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”

พ่อแม่บางคน (๑๑)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี

พ่อแม่บางคน (๑๒)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์

พ่อแม่บางคน (๑๓)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต

พ่อแม่บางคน (๑๔)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

ว.วชิรเมธี
๒๙ มกราคม ๒๕๕๒
กาฐมัณฑุ, เนปาล

ขอขอบพระคุณ ข้อมูลจาก http://blog.sarnrak.net/Nutty

Tuesday, 29 May 2012

รักษาโรคแก้กรรม (วัดถ้ำแฝด)





http://www.watthamfad.com/



หลวงพ่อวัชระ เอกวัณโณ
เปิดโลกธรรม ลดแรงกรรม แก้ไขกรรมของสัตว์โลก
ด้วยพลังธาตุธรรม เมตตาบารมี
ณ วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

เรื่อง รักษาโรคแก้กรรม

การบำบัดรักษาของหลวงพ่อวัชระนั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นเวทย์มนต์หรือใช้ทางไสยศาสตร์ ในการบำบัดรักษา ทั้งหมดที่กระทำการบำบัดให้ผู้เจ็บป่วยนั้น เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม ด้วยการขอบิณฑบาตร โดยอาศัยการแผ่เมตตาธรรมเป็นหลักสำคัญ เพื่อโปรดให้ทุกฝ่ายได้ให้การอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน อันจะทำให้กรรมนั้นเป็นโมฆะ คือ ไม่มีผลที่จะมาอาฆาตพยาบาทก่อกรรมก่อเวรสร้างภพสร้างชาติกันอีกต่อไปนั่นเอง

บางท่านเห็นวิธีการบำบัดรักษาแล้วก็ทึ่ง แต่บางท่านก็งง ว่าหลวงพ่อรักษาด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ผลค่อนข้างแน่นอน เว้นแต่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่ยอมอโหสิกรรมให้เท่านั้น เพราะผู้ที่เจ็บป่วยทั้งในและนอกประเทศได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้หายจากการเจ็บป่วยด้วยวิธีการใช้บารมีธาตุธรรมนี้จนหายนับเป็นจำนวนพัน เพราะในแต่ละวันสูงสุดเคยรักษาถึง  50 คนต่อวัน ค่าเฉลี่ย 20 คน ต่อวัน ซึ่งนับได้ว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงมาก

การแก้ไขวิบากกรรมนี้จำเป็นต้องใช้จิตที่มั่นคง แผ่เมตตาธรรมออกไป ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้พลังจิตค่อนข้างมากบางวันตั้งแต่ 7 โมงเช้า  – 1 ทุ่มก็บ่อยครั้ง ได้พักตอนฉันเพลเท่านั้น นอกนั้นก็ทำพิธีสงเคราะห์ญาติโยมเป็นส่วนใหญ่ เห็นแล้วน่าเหนื่อยแทน ท่านเปรียบเทียบว่าการใช้พลังจิตก็เหมือนกับการใช้แบตเตอรี่ ใช้มากพลังก็หมดได้เช่นกัน จำเป็นต้องชาร์ทแบตบ่อย ๆ พลังจึงเต็มและได้ผล

บางครั้งจิตเหนื่อยมาก เมื่อเพ่งพลังจิตเข้าช่วยคนไข้ บางทีช่วงบ่าย ๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย แทบจะหลับไปในขณะทำพิธี แต่ด้วยจิตที่สงสารคนป่วย หลวงพ่อก็พยายามรั้งสติกำหนดจิตให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าใครไปที่วัดบ่อย ๆ คงจะสังเกตเห็นหลวงพ่อเหมือนหลับกลางอากาศบ่อยครั้ง ก็ด้วยสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ หากอายุมากกว่านี้อาจจะต้องพักผ่อนหรือหยุดการรักษาด้วยวิธีนี้ เว้นแต่จำเป็น

จริง ๆ" ลูกศิษย์หลายท่านเดาว่าหลวงพ่อวัชระอายุประมาณ 40 ปี แต่จริงๆแล้ว หลวงพ่ออายุเกือบเท่าคนวัยเกษียณอายุแล้ว ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อท่านจะยังคงรับกรรมของพวกเราไหวหรือไม่ก็ไม่ทราบ

ถ้าเปรียบเทียบ ผู้กำลังเจ็บป่วยรับกรรม เป็นเสมือน " คนกำลังจมน้ำ " ผู้ปฏิบัติธรรมก็เปรียบเสมือน " ผู้ที่ว่ายน้ำเป็น หรือกำลังเรียนรู้การว่ายข้ามวัฎสงสาร" ให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ........ ซึ่งปณิภาณของหลวงพ่อวัชระคือ "การสร้างคน หรือการสอนคนให้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง " ท่านจึงได้สร้างศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรม , ลานปฏิบัติธรรมแนวธรรมชาติ และห้องพักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม แต่ด้วยวัดอยู่ห่างไกลและขาดบุคคลากรจึงยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร ประกอบกับเมตตาธรรมที่ไม่อาจทนดูคนจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อจึงใช้ในการสงเคราะห์ญาติโยมโดยไม่แบ่งแยกระดับชั้น

หวังว่าเรื่องราวต่างๆคงตอบคำถาม ที่อยู่ในใจของบางคน ให้หายสงสัยได้


เหนือกรรมคือเหนือโลก
สังคมมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของสัตว์โลกที่มีกรรมที่อาศัยถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อชดใช้บาปกรรมที่เคยได้กระทำมาและให้โอกาสได้แก้ไขชีวิตใหม่ บ่อยครั้งที่มนุษย์มักกล่าวกันว่า เกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่มีส่วนหนึ่งที่เราคิดไม่ถึงว่า เกิดมาเพื่อให้โอกาสมาสร้างกรรมดีภพมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง อบายภูมิ-เทวภูมิดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏสงสารที่หมุนเวียนดั่งกงล้อต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด ภพภูมิต่าง ๆ จึงเป็นที่รองรับสภาพของสัตว์โลกที่ยังดำรงตนลุ่มหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปทาน เวียนเกิดเวียนดับชดใช้กรรมจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งสืบเนื่องกันไปไม่รู้จักจบ จึงวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เพราะความโลภ โกรธ หลง เป็นมูลเหตุ จนกว่าจะรู้จักธรรมะอันเป็นแนวทาง ลด ละ เลิก กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายให้สิ้นไป

ปัจจุบันวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เจริญรุดหน้าไปมากสามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้มีอัตราการเสียชีวิตลดน้อยลงจากเดิม แต่เราคงจะเคยได้ยินหรือพบเห็นว่า ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่แพทย์รักษาแล้วไม่หาย แม้จะเอ็กเรย์หรืออุลตราซาวน์บางทีก็ยังไม่พบสาเหตุแห่งการเจ็บป่วย และในที่สุดก็ต้องถูกผ่าตัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หายแต่อย่างใด บางรายก็อาจเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป

เราเคยคิดสงสัยบ้างไหมว่า การวินิจฉัยโรคของแพทย์ให้ผลคลาดเคลื่อนแม้ในแพทย์ด้วยกันเอง เราอาจจะเชื่อในเทคโนโลยี่ เชื่อในกระบวนการรักษาพยาบาลที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ การวิเคราะห์ที่ประกอบไปด้วยหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่แพทย์ไม่อาจสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต
ดังนั้นบางครั้งทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ จึงต้องพึ่งพาหลักการของศาสนาว่าด้วยเรื่องของ กรรมกฏของธรรมชาติที่ดูแลความสมดุลของมนุษย์ด้วยความยุติธรรมเที่ยงแท้และแน่นอน แม้มนุษย์จะมีวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่า กฎแห่งกรรมจะถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย

สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเวียนว่ายตายเกิด หมุนเวียนกันไปตามแรงกรรม ทำกรรมดี ก็ย่อมได้รับผลที่ดี ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลในทางชั่ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่จะทำดีอย่างเดียวหรือชั่วอย่างเดียวไปตลอดชีวิต ย่อมมีดีและชั่วคลุกเคล้ากันไป เพียงแต่น้ำหนักแห่งกรรมตัวใดจะมากกว่ากัน ย่อมจะทำให้ต้องรับวิบากกรรมตัวที่หนักไปก่อน
แต่ถ้าใครละกรรมชั่วทำตัวอยู่เหนือกรรมดีได้ ก็จะสามารถอยู่เหนือกรรมทั้งหมดได้ เพราะเมื่อสามารถละกรรมชั่ว คือ ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วจะไม่กระทำเด็ดขาด ส่วนอยู่เหนือกรรมดี คือ ทำแต่กรรมดีแต่ไม่ได้ยึดติด หรือถือว่าตัวเองดีเหนือคนอื่น ย่อมทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานได้นั่นเอง จึงสามารถกล่าวได้ว่า ผู้ที่อยู่เหนือกรรมดีและกรรมชั่วทั้งปวง คือผู้อยู่เหนือโลกอย่างแท้จริง
พรหมลิขิต

ใครเล่าที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตที่แท้จริงของเรา เทพเจ้าเหล่าเทวา อินพรหม ยมราช หรือ แผ่นฟ้าและแผ่นดิน บ่อยครั้งที่เรามักพูดกันติดปาก สุดแท้แต่พรหมลิขิตความเข้าใจเช่นนี้ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก เพราะนั่นเป็นเพียงคำเปรียบเทียบเท่านั้นเอง ถ้าความจริงเป็นเช่นที่ว่า เทพ พรหม เหล่าเทวา สามารถกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ทุกรูปทุกนามได้ก็คงจะดี มนุษย์ทั้งหลายคงประกอบไปด้วย พรหมวิหาร 4 หรือ หิริโอตตัปปธรรม ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้เป็น พรหม หรือ เทวดา โลกนี้ก็คงจะไม่มีความโหดร้ายปรากฏให้เห็น คงอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทำให้ทุกคนทำแต่ความดีจะได้กลับไปอยู่เบื้องบนด้วยกันทั้งหมด

ดังนั้นถ้า พรหมไม่ได้ลิขิต และคงไม่ใช่เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์ใดแล้ว ก็อะไรเล่าที่ทำให้ชีวิตมนุษย์หมุนเวียนเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้ คำตอบดูเหมือนจะง่าย แต่จะเข้าใจกันหรือเปล่าไม่ทราบมนุษย์เองนี่แหละเป็นผู้กำหนดและลิขิตชีวิตตนเอง วิถีชีวิตมนุษย์จะดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเกิดจากการกระทำของตนเองเป็นเหตุเบื้องต้นทั้งสิ้น ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น

ทุกคนที่เกิดมาย่อมเคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาด้วยกันทุกคน จะโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี แม้ความผิดพลาดอันนั้นจะเกิดจากเงื่อนไขของวิบากกรรมในอดีตชาติ แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าวิบากกรรมเหล่านั้นจะไม่สามารถแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้
ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของคนเราในแต่ละวัน ที่เป็นสุขหรือทุกข์ก็ดี มันย่อมมิใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นกรรมลิขิต 
ความแตกต่างในฐานะความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ และความเกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องของผู้คนนั้น ย่อมเกิดจากกรรมในอดีตชาติส่งผลทั้งนั้น บางคนเกิดมาสมบูรณ์พูลสุข บางคนยากไร้ บางคนรูปร่างหน้าตาสวย บางคนขี้เหร่ ชีวิตจึงไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง เพราะบางทีรวยจริงแต่ไม่มีความสุข บางคนสวยมากแต่ประสพปัญหาชีวิตครอบครัว จนตัดสินใจทำลายตัวเองก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ความพอดีของมนุษย์แต่ละรูปแต่ละนามจึงยากกำหนดให้เป็นมาตรฐานได้ ย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุแห่งกรรม ที่จะส่งผลมาถึงปัจจุบัน และสืบเนื่องต่อไปถึงอนาคต

ดังนั้นเรื่องราวที่จะได้นำเสนอต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงเหตุและผลแห่งกรรม ผ่านจากเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีตัวตนอยู่ในปัจจุบัน และจากประสพการณ์ การวิเคราะห์ เรื่องราวที่ได้กลั่นกรองอย่างมีเหตุมีผลที่อธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะชีวิตไม่ใช่เครื่องทดลอง วันเวลาที่ผ่านไปย่อมมีค่า รีบศึกษาและทำความเข้าใจ หาเหตุและผล หาทางแก้ไขชีวิตจิตวิญญาณให้พ้นจากความทุกข์ เข้าสู่หนทางแห่งความสุขที่แท้จริง และในแนวทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามหลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่าไปคิดว่า มนุษย์จะตัดกรรมของตนเองได้ง่าย ๆ อย่าคิดว่าเพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วจะถึง หรือเจ้ากรรมนายเวรยอมรับง่าย ๆ เงินทองซื้อกรรมไม่ได้ ในเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแนวทางที่ท่านอาจจะแก้ไขวิบากกรรมของตนเองให้เบาบางหรือหายไปได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องจ่ายเงินจนเกินกำลังของตนเอง เพียงแต่ถ้าท่านเชื่อและศรัทธาในเรื่องราวเหล่านี้ เราจะชี้แนะหนทางนั้นแก่ท่าน