Wednesday, 21 December 2011

หรือนี่คือ ความเป็นอยู่แบบสังคมไทย?

 สังคมของคนไทยยุคนี้ เป็นสังคมของการอยากมี อยากดี อยากได้ เสียส่วนใหญ่ ตัวเองนับถือศาสนาพุทธ แต่เพื่อความอยากมี อยากดี อยากได้ และให้สมหวังตาม ที่ตัวเองต้องการ มีคนเขาบอกว่าการบูชารูปเคารพชนิดนั้น ศาสนานั้น เทพองค์นั้น คนนั้น ท่านผู้นั้น แล้วจะทำให้ตัว เองดี มี หรือได้ก็ไม่คำนึงถึงว่า จะถูกหรือผิด จะรับประโยชน์ ได้แท้จริงหรือไม่ แต่ก็พากันตะกายไปหามาเคารพ ยิ่งสังเกตดูในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนทั้งหลายก็ยิ่งตะกายทะยานอยาก หาที่พึ่งที่ตัวเองคิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของตนและครอบครัว ฐานะของตนดีขึ้น ถึงกับยอมรับเอาลัทธิประ-หลาดๆ ให้เข้ามาไว้ในตัวและวิญญาณของตน เพื่อแลกมาซึ่งวัตถุที่ตัวปรารถนา เหมือนกับคนที่ยอมก้มหัวให้กับคนผิด คนพาล เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร เงินทอง หรือสิ่งที่ปรารถนาโดยไม่คำนึงว่า การ ก้มหัวชนิดนั้น คนคนนั้นจะเป็นคนพาล หรือจะเป็นบัณฑิต จะเป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบ หรือเป็นคนที่ให้ประโยชน์ต่อตน และสังคมอย่างแท้จริงหรือไม่
      
       ตัวอย่างเช่น มีข่าวเล่าลือกันว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคนไปเคารพไหว้ บูชาราหู โดยกลัวว่า...ถ้าไม่ได้ไหว้ ไม่ได้บูชา แล้วจะทำให้ตนตกต่ำ! จะทำให้ตัวเองต้องมีอันเป็นไปหรือไม่ก็บูชาเพื่อมุ่งหวังให้ตัวเองมีฐานะ ครอบครัว สังคม และการงานที่ดีขึ้นก็ยอมที่จะไปกราบไหว้คนพาล ใครๆ ใน โลก เขาก็รู้กันอยู่ว่า ราหูเป็นมารเป็นยักษ์ เป็นคนพาล แต่ก็มีคนที่อ่อนแอไปยอมรับ เหมือนกับบุรุษบุคคลที่ยอมก้มหัวให้ กับอิทธิพลเถื่อนเพื่อจะเอาตัวรอด และประจบสอพลอไปวันๆ หนึ่ง ดู...ดูแล้ว ช่างน่าอนาถเสียจริงๆ
      
       มันแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานทางจริยธรรม และจิตใจของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ว่า มันตกต่ำ ถึงขนาดไปยอมรับ สิ่งที่เลวร้าย พาลพาโล และบูชาวัตถุเป็นพระเจ้า จนลืมไปว่าคุณค่าและราคาของจิตวิญญาณของตัวเอง มีค่ามากกว่าวัตถุ จริยธรรมและความดีงาม ชีวิตเสรีภาพ และความอิสระของ ตน มีราคามากกว่าวัตถุ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิศักดิ์ศรี แห่งจิตวิญญาณในตน ในความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นของตนเสีย และ ก็ไปก้มหัวให้กับซาตานให้แก่ยักษ์มาร หรือไม่ก็คนพาล เพื่อ จะประจบสอพลอ เพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆหนึ่ง ให้อยู่ได้ แสดงว่าคนปัจจุบันชอบทำอะไรเพื่อความอยู่รอด โดยไม่คำนึง ว่า ความอยู่รอดอันนั้นอยู่รอดด้วยวิถีที่ถูกหรือผิด เป็นความอยู่รอดตลอดกาล หรือความอยู่รอดเฉพาะหน้า คนที่ก้มหัวให้แก่คนพาล มันก็เป็นเพียงแค่ความอยู่รอด เฉพาะกาล เฉพาะครู่ เฉพาะยามเท่านั้น พอคนพาลตนนั้น คนนั้น หมดอำนาจ หรือว่าบ้าอำนาจขึ้นมา มันก็จะหันมากัดกินและทำร้ายบริวารของตนก็ได้ แต่ถ้าเผอิญหมดอำนาจเสียก่อน มันก็จักหันมาวิงวอน ดิ้นรนขวนขวาย ทุกวิถีทาง เพื่อจะเรียกร้องเอาอำนาจคืน แม้แต่จะต้องใช้ชีวิต ของผู้ที่ให้ความเคารพยอมรับบูชาตน มาเป็นเครื่องสังเวยแลกเปลี่ยน คนพาลคนนั้น มาร ซาตาน ที่เป็นพาลนั้น จะยินดีแลกเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตน ด้วยคิดว่า ถ้าสิ้นอำนาจ ชีวิตตนก็จะสิ้นไปด้วย เห็นไหมล่ะว่า แม้แต่วัตถุ มาร ซาตาน ที่เราหลงไปเทิดทูนบูชา ตัวเค้าเองยังน่าสงสาร ยังเต็มไปด้วยความหวาดผวา สะดุ้งกลัว ต่อภัยที่ตนมองไม่เห็น แล้วนับประสาอะไรที่จะมามีปัญญา มาอภิบาล ปกปักรักษา ผู้บวงสรวง บูชาได้ เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นบริวารของซาตาน เป็นสาวกของคนพาล มักจะมีชีวิตอยู่ไม่รอดตลอดกาล จะรอดก็เพียงแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม ชั่วครั้ง ชั่วเผลอ
      
       เช่นเดียวกันกับการที่คนทั้งหลาย พากันไปหารูปเคารพในศาสนาทั้งหลายที่มีคำโฆษณากล่าวขาน เล่าลือกันว่า เป็นรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ เนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เราได้รับประโยชน์ได้ โดยไม่คำนึงว่า การไปเคารพรูปเคารพเหล่านั้น มันจะทำให้ตนเป็นคนฉลาดขึ้นหรือโง่ลง ไม่คำนึงว่าเราจะมี อิสรภาพหรือว่าเป็นทาสมากขึ้น ไม่คำนึงว่าชีวิตเราจะเป็นคน ที่มีปัญญาเยอะ หรือปัญญาทรามลง ไม่คำนึงถึงประโยชน์ สูงสุดที่จะได้จากการเคารพคนพาลเคารพซาตาน หรือเคารพรูปเคารพทั้งหลาย ซึ่งเราไม่รู้ว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เป็นแต่เพียงคำเล่าขาน และอ้างลือกันเฉยๆ ก็ถือว่าเป็นการ เคารพเพื่อเอาตัวรอดเฉยๆ ทั้งๆที่มันไม่ได้รอดเลย ยิ่งเคารพ ก็ยิ่งโง่เขลา เบาปัญญามากขึ้น
      
       หลังจากมีเสียงเล่าขานที่ผ่านมาว่า คนไปเคารพรูปบูชาของเทพเจ้าในลัทธิต่างๆแล้วจักทำให้ตนมีการค้าเจริญ รุ่งเรือง มีบริวารราชศักดิ์เยอะแยะ มีชื่อเสียงเกียรติภูมิแต่ที่เห็นแน่ๆ ก็คือ คนที่ขายรูปเคารพเจริญขึ้น นักบวชที่เป็น บริวารแห่งรูปนั้นๆ ก็รุ่งเรืองมากขึ้น และมีทรัพย์สินมากขึ้น แต่คนที่ไปเคารพก็จะจนลงอยู่ตลอด และถ้าเผอิญจะได้อะไรมานิดๆหน่อยๆ ก็คิดว่านี้คือการเนรมิตของรูปเคารพ จนลืม ไปว่า ไอ้การที่เราจะได้มานั้น มันต้องลงมือกระทำ และบางที บางครั้ง เขาก็ได้มาจากผลแห่งการขวนขวายกระทำแต่เพราะ ขณะที่กระทำด้วย แล้วก็เคารพไปด้วย ก็เลยคิดว่า นี้คือการ เนรมิตแห่งรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิ ความรู้ความสามารถและสติปัญญาของตัวเองเสีย เหมือนกับ บุคคลที่ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีปัญญาที่จะคิดอ่าน เอะอะอะไร ก็มืดบอดเมามัวอ้างมั่วไปหมด
      
       เหตุการณ์เหล่านี้มันทำให้ผู้รู้ทั้งหลาย ที่มีปัญญา ได้วิเคราะห์ว่า เป็นความอ่อนแอของชีวิต ที่ปฏิเสธสัจธรรม จนทำให้หูหนา ตาบอด ขาดแสงสว่างแห่งปัญญา จนถูกครอบงำ จองจำ ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ และด้วยเครื่องล่อต่างๆ ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อต้องการให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ จิตวิญญาณของปุถุชนและบุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่ มักจะเป็นทาสวัตถุ เสียจนเต็มที่ จนทับถมความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบาน และครูที่ดีงามที่อยู่ในจิตวิญญาณของตนเสียหมด เรายึดถือ วัตถุเป็นพระเจ้าภายใน จนทำลายพระเจ้าของเราให้ท่านตาย สนิทลงไป ซึ่งของเดิมท่านก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว เขาให้เรามีชีวิต เพื่อที่จะปลุกพระเจ้าที่อยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมา แล้วก็จะได้รับคำสั่งสอนจากพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้ได้รู้ว่าเราจะต้องทำชีวิตให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม และวิถีทางแห่งผู้รู้ ผู้ตื่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่เราก็ดันไปเคารพพระเจ้านอกกาย และเป็นพระเจ้า ที่เป็นอันตรายต่อพระเจ้าภายใน ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าภายในของพวกเราก็คือ จิตวิญญาณที่ได้รับการปลุกให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามสถานภาพแห่งสติปัญญาของตน ซึ่งชาวโลกเขาเรียกขาน จิตวิญญาณเหล่านั้นว่า "พุทธะจิต" คือจิตแห่งพุทธะ
      
       รวมความแล้ว ทุกคนมีจิตวิญญาณแห่งพุทธะอยู่ในตัวของตนเสมอเหมือนกันเท่ากันทุกคน เพราะบางคนรู้จัก ที่จะปลุกให้ตื่น คนคนนั้นจึงกลายเป็นพระพุทธะและอีก หลายร้อย หลายพัน หลายล้าน หมื่นแสนคน ที่ไม่รู้จักจะปลุกให้จิตวิญญาณพุทธะอันนั้นตื่น เขาจึงกลายเป็นบุคคล ที่โง่เขลา ตกเป็นทาสของสิ่งที่เลวร้าย เหลวไหล เลอะเทอะตามครรลองของซาตาน ที่จะฉุดกระชาก ลากถูไป
      
       ฉะนั้น ถ้าโลกและสังคมยังยอมรับวัตถุและความไม่ปกติเป็นพระเจ้า มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขารู้จักความ ปกติและพระเจ้าภายใน โลกและสังคมยังเทิดทูนบูชายังสละ ได้แม้แต่ชีวิต เพื่อให้แลกมาซึ่งวัตถุและความไม่ปกติ มันก็เป็น เรื่องยากที่จะให้เข้าใจถึงพระเจ้าที่อยู่ภายในจิตวิญญาณ มันจะยิ่งลำบากใหญ่ ที่จะทำให้พระเจ้าของเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่าง เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
      
       พระศาสดาจึงทรงสอนนักบวชแห่งพระองค์ว่า "จงเป็นผู้มีภาระอันวาง"คำว่ามีภาระอันวางก็คือ ได้เป็นผู้รู้จัก หน้าที่ ที่มีต่อกันและกัน ถูกต้อง ไม่บกพร่อง แล้วสุดท้ายก็ต้องวาง จากภาระทั้งปวง คนที่วางภาระได้แล้ว ย่อมเข้าถึง ชีวิต วิญญาณแห่งครูผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ย่อมเข้าถึงความสุข อิ่มและสันติ เยือกเย็นและสงบภายในแห่งตน โดยไม่ต้อง มุ่งหวัง และพึ่งพิงอิงแอบอาศัยพระเจ้าใดๆ ในโลกต่อไป โดยไม่ต้องขอพรไหว้วอนพระเจ้า หรือยกให้พระเจ้าทั้งปวงให้พรต่อเรา เราจะกลายเป็น ผู้เป็นเจ้าของ พรอันประเสริฐด้วย ตัวเองได้ อย่างชนิดที่ไม่มีใครคิดและคาดถึง
      
       ฉะนั้น ผู้ฉลาดในโลก ย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ อย่าลืมว่าหลวงปู่พูดว่า "ผู้ฉลาดในโลกย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ คำว่าผู้ฉลาดในโลก ได้แก่ ผู้ที่รู้ เห็น ตามความเป็นจริงของสภาวะที่เป็นธรรมดาของโลก โดยไม่ทำชีวิต จิตวิญญาณ ให้ฝืนสภาวะธรรมชาติที่เป็นจริงจนไม่โดนกระแสสภาวะธรรมใดๆ ครอบงำ ผู้ที่โง่เขลาในโลก ย่อมอยู่แล้วเสีย โอกาส ไร้ประโยชน์เขาจะปล่อยชีวิตของเขาให้ตกเป็นทาส ของอะไรๆ เยอะแยะมากมาย แล้วตะกายทะยานอยากไม่จบสิ้น"
      
       เพราะฉะนั้น จงปลุกครูที่มีความเอื้ออาทรต่อเราอย่างยิ่ง ที่นอนหลับไม่ไหวติงอยู่ภายในจิตวิญญาณ ให้ท่าน เป็นผู้ตื่นขึ้นมาเสียที โดยกระบวนการที่ รู้ให้เท่าทัน ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นมิตรหรือศัตรู โดยที่เราต้องเข้าใจถึงสภาวะแห่งความเป็นจริงของโลก จักรวาลและสังขารทั้งปวง แล้วทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนรู้จักเข้าใจกระบวนการและ องค์-ประกอบของชีวิต อย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด นี้คือวิธีการปลุกครูผู้เอื้ออาทรที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นให้สะดุ้งขึ้นมา เพื่อที่จะมาสอนเรา สั่งเรา บอกเราให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควร วิถีทางแห่งการปลุกครู ก็ต้องเริ่มต้นมาจากการทำความรู้จัก กายที่ละเอียดอ่อน ตั้งความเป็นระเบียบอย่างยิ่ง จนกลายเป็นสติที่คอยเตือน เป็นสติที่มากไปด้วย ความรู้เนื้อรู้ตัว ว่าเราอย่าทำผิดระเบียบ และกฎเกณฑ์กติกา ของโลก สังคม และธรรมชาติ เป็นการฝึกให้ตนเป็นคนที่ รู้เท่าทันศัตรู และก็มิตร ได้อย่างชนิดที่ไม่คิดว่า มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่สุดท้ายมันจะให้ประโยชน์เราจนเกินคุ้ม และมีค่าอย่างเหลือล้น จนคนทั้งหลายต้องร้องบอกว่า "โอ้.. พระพุทธะท่านตื่นแล้ว โอ้...เราค้นพบพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในตัวเราแล้ว"
      
       แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจต่อการให้ความเป็นระเบียบมี ระบบของกาย เราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรๆ และไม่เข้าใจใครๆ ในโลกทั้งหลายได้เลย จนสุดท้ายจะกลับกลายเป็นบุคคลที่เกินเลยต่อโลกและสังคม สิ้นความนิยมของคนทั้งหลายไปด้วย เราจะกลายเป็นบุคคลที่เลวระยำ ชั่วร้าย เหลวไหลในสายตา ของชาวบ้าน เพราะเราได้ผิดระเบียบ ผิดระบบ และไม่มีใคร คิดจะคบกับตัวเรา เราจะกลายเป็นบุคคลที่ผิดต่อกระบวนการ ปกติ ของธรรมชาติในกายนอกกาย จนล่วงเกินก้าวก่ายต่อความยุติธรรมที่สังคมก่อตั้งขึ้น
      
       ขอพวกเราทั้งหลายผู้เจริญ จงปลุกครูผู้มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ และเป็นพระเจ้าภายในให้ตื่นขึ้นมา เพื่อมุ่งสอนสั่ง ชี้นำให้พวกเราเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ด้วยตัวของเราเอง และเราก็จะ ได้ ไม่ต้องวิ่งวนขวนขวาย ขอพรอ้อนวอนพระเจ้านอกกาย หรือที่ไหนอีกเลย และเราก็จะร้องบอกกับตัวเราเองว่า พระเจ้า อยู่กับเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระศาสดาองค์ใดๆ ก็อยู่กับ เราทั้งหมด อำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ และความศักดิ์สิทธิ์เป็นของเราทั้งปวง เราจะกลับกลายเป็นบุคคลที่วิเศษกว่าคน ทั้งหลาย เจริญกว่าคนทั้งหลาย ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลาย และก็กลายเป็นผู้ชนะในโลกได้ตลอดเวลา
      
       ลูกรัก
       เจ้าอย่ามัวแต่มาเสียเวลากับการอ่าน
       หรือดูเรื่องของคนอื่นอยู่เลย
       ควรจะเอาเวลาเหล่านั้น
       มาอ่านและก็ดูตนเองบ้างจะดีกว่า
      
       ลูกรัก
       ไม่ว่าคำสอนของ
       พระพุทธเจ้าทั้งหลายหรือของพ่อ
       จะวิเศษพิสดารขนาดไหน
       มันจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
       ถ้าเจ้าไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ
      
       ลูกรัก
       ผู้คนทั้งหลายที่มีชีวิตวันนี้
       ก็เพื่อจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้
       เพื่อให้ได้ในสิ่งที่คาดหวัง
       แต่สำหรับพ่อมีชีวิตอยู่วันนี้
       มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้
       ชั่วชีวิตของพ่อ
       ไม่เคยมีวันข้างหน้าเลย
      
       ลูกรัก
       เจ้าจักรู้หรือไม่หนอ
       ว่าในความทุกข์ยากเหลือแสน
       มันย่อมเป็นตัวแทนของความสำเร็จ
       และมักเป็นเหตุให้เกิด ผู้รู้ ผู้ตื่น
      
       ลูกรัก
       เจ้าต้องทำให้ชีวิตเหมือนกับ
       เมฆหมอกที่กำลังเคลื่อนตัว
       หรือสายน้ำที่กำลังไหลริน

Tuesday, 20 December 2011

บทแผ่เมตตา (บทความที่รจนาโดยหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย)

สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
สัพเพสัตตา
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่คุณบิดาและมารดา
คุณครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
รวมทั้งท่านผู้มีพระคุณ ที่ได้ให้อาหารและปัจจัยสี่แก่ข้าพเจ้า
ขอท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นผู้มีความเจริญในธรรมของพระพุทธเจ้า
คิดและหวังสิ่งใด ขอสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
จงสมความปรารถนาทุกประการเทอญ
ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนกุศลนี้
ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ
และพญายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔, พระธรณี, พระคงคา, พระเพลิง, พระพาย,
เจ้าที่-เจ้าทาง, เจ้าทุ่ง-เจ้าท่า-เจ้าถ้ำ, เจ้าป่า-เจ้าเขา, เปรต, อสุรกาย,
ผีสางนางไม้, สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสาร และ
ณ.สถานที่แห่งนี้ ขอจงมารับกุศลผลบุญอันนี้ อันข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดี
ในครั้งนี้ด้วยเทอญ
ขอผลบุญนี้ จงเป็นพลังปัจจัย ส่งผลให้ไม่ว่าข้าจะอยู่ในที่ใด
เกิดในชาติไหน ๆ จงอย่าประสบ อย่าได้พบกับคำว่าไม่มี ไม่ดี ไม่ได้ ไม่สบาย
ตลอดกาลเทอญ.

Sunday, 18 December 2011

ความกตัญญู

มอบแด่พ่อและแม่(อรหันต์)ของลูก

จำไว้ว่าเลือดของเรา เนื้อของเรากระดูกของเรา ไขมันแห่งเรา ทุกอย่างในร่างกายของเราเป็นของพ่อและแม่ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ต้องทำสิ่งดี ๆ ให้กับพ่อแม่ต้องทำให้พ่อแม่เจิรญหู เจริญตา เจริญปัญญา และก็เจริญสุขอย่างนี้ เรียกว่าลูกกตัญญู
       การ ได้มีโอกาสเข้ามาค้นหาสาระของการมีชีวิตถือว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในชีวิต ก่อนที่หลวงปู่จะพูดถึงเรื่องความกตัญญู ขอพูดตรงนี้สักนิดหนึ่งว่า "จงโตพร้อมตาย แต่อย่าโตจนลืมตาย"
      
       หลวงปู่เคยพูดกับพระเณรในวัดเสมอว่า พวกท่านอย่าคิดว่าผมมีชีวิตอยู่ในอาวาสนี้ ให้พวกท่านคิดว่า ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อดูว่าพวกท่านจะทำอะไรด้วยตัวท่านเองได้บ้าง พวกท่านจะได้รู้จักที่จะโต พร้อมรอวันตาย ไม่ใช่โตจนลืมตาย เหตุที่โตจนลืมตายก็เพราะว่า มีชีวิตอยู่เพื่อจะให้โต ให้ยิ่งใหญ่ ให้ได้ดี ให้มี ให้เป็น ให้เด่น ให้ดัง แต่ไม่คิดดับ นี่เรียกว่าโตจนลืมตาย แต่ถ้าโตพร้อมรอวันตายนั้น มันมีชีวิตอยู่ทุกย่างก้าวหยาดหยดของลมหายใจเข้าออกและเลือดเนื้อชีวิตและ เส้นเอ็นของตนมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสาระทุกหยาดหยดและย่างก้าว มันก้าวเดินด้วยความมีสาระ มั่นคง องอาจ สง่างาม และผ่าเผย พร้อมที่จะเผชิญหรือผจญต่อเหตุในสิ่งแวดล้อมที่บีบคั้นเลวร้ายปานใด ก็สามารถเอาชนะหลุดรอดอยู่ได้อย่างสบายอย่างนี้เขาเรียกว่าโตพร้อมตาย แล้วถึงวันตายก็ตายอย่างองอาจสง่างามผ่าเผย เป็นความตายที่เรากล้าที่จะบอกกับมันได้ว่า เราพร้อมที่จะรับ
      
       ส่วนประเภทที่โตจนลืมตายนั้น พวกนี้จะกลัว ประหม่า หวาดหวั่น สั่นและพรั่นพรึงอยู่ตลอดเวลาเพราะเกิดจากความไม่มั่นใจตัวเอง ไม่มั่นใจเพราะคิดว่าตัวเองไร้สาระมาตลอด ที่ผ่านมาไม่มีสาระให้แก่ตัวเอง ไม่มีภูมิธรรม ไม่มีค่านิยม ไม่มีภูมิความรู้ หรือไม่มีความประพฤติปฏิบัติหรือสิ่งที่ทำ ที่จะทำให้ตัวเองมั่นใจและพร้อมตาย เพราะฉะนั้นคนที่โตจนลืมตายนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีกายอันไม่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่โตพร้อมตาย ถือว่าเป็นผู้ที่ตั้งมั่นด้วยกายอันศักดิ์สิทธิ์
      
       ฉะนั้น ที่ผ่านมาหลวงปู่ก็พยายามสอนให้ทุกคนโตพร้อมตาย โดยการทำให้เขาดูเป็นครูให้เขาเห็นในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆ หลวงปู่ก็ต้องคอยแก้ปัญหาเพื่อให้งานลุล่วงไปอย่างชนิดที่เรียกว่า รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด และเรียบร้อย
      
       ถ้าถามหลวงปู่ว่าอยากจะให้ทุกคนคิดเองได้บ้างมั้ย อยากให้ทำเองได้บ้างมั้ย อยากให้เป็นผู้นำของตัวเองได้มั้ย ...อย่าว่าแต่อยากเลย มันสุดยอดปรารถนาทีเดียวแหละ เพราะไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่เลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกโตหรอก ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกเลี้ยงลูกแล้วอยากให้ลูกโง่ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกที่เลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกพึ่งตัวเองได้ และก็ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกสอนลูกลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้เป็นที่พึ่งแก่คน อื่น...ไม่มี ฉันใดก็ฉันนั้น หลวงปู่เองก็เหมือนกัน
      
       เคยมีคนถามหลวงปู่ตอนแสดงธรรมว่า การที่เตรียมบวขหน้าไฟให้บิดา แต่เกิดป่วยขึ้นมาเลยไม่ได้บวช ไม่ทราบว่าจะมีผลอย่างไร หลวงปู่เลยตอบไปว่า มันก็ไม่มีผลอะไร ก็แค่ไม่ได้บวชไม่ได้โกนหัวเท่านั้นเองแต่การที่คิดจะบวชเพื่อแสดงความ กตัญญูกตเวทิตาตอนพ่อตายน่ะ หลวงปู่ไม่เห็นด้วย
      
       หลวงปู่ถามไปว่า เขาอายุเท่าไหร่ เขาบอกว่าอายุ ๔๐ หลวงปู่เลยย้อนถามว่า ตอนที่อายุ ๒๐ กว่าน่ะเคยคิดจะบวชมั้ย เขาตอบว่าไม่เคยคิด พอถามว่าทำไม ก็ได้รับตำตอบว่า เพราะไปมีลูกมีเมีย อยู่กับลูกเมียแล้วเมาหยำเปเสเพล ทำตัวเองเหลวแหลก ทีนี้พอพ่อตายก็คิดอยากจะบวช มานั่งร้องห่มร้องไห้ อย่างนี้มันน่ามั้ย... ก็ตอนที่พ่อยังดีๆ มันไม่คิดจะให้ ฝ่ายพี่สาวก็เหมือนกัน บอกพ่อชอบกินหัวหมู ชอบกินเป๋าฮื้อ เลยเอาหัวหมูเอาเป๋าฮื้อไปวางไว้ข้างโลง เคาะป๊อกๆๆๆรียกพ่อกิน หลวงปู่ถามว่าก่อนพ่อตายเคยซื้อพวกนี้ให้พ่อกินบ้างมั้ย เขาบอกว่าไม่เคยเลย เนี่ย...พวกนี้มันแย่ หลวงปู่เลยพูดไปว่า มาทำดีตอนพ่อตาย เคาะโลงป๊อกๆ เรียกกินนั่นกินนี่แต่ตอนไม่ตายปล่อยให้พ่อแม่อดอยากปากแห้ง อย่างนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร ทำไมไม่คิดจะทำตอนที่เค้ายังไม่ตายล่ะลูก
      
       ทำดีอย่างนี้หลวงปู่ไม่สนับสนุน เพราะหากว่าชั่วชีวิตเรา ไม่เคยทำดีกับพ่อกับแม่ แล้วมาทำตอนที่พ่อแม่ตายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นเรื่องเหมือนกับคนไปไถ่บาป ทำบาปมา ๒๐ ปี แต่ไถ่บาปแค่วันเดียว อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี
      
       เมื่อไม่นานมานี้มีผัวเมียคู่หนึ่งมาที่วัด นั่งแท๊กซี่มา เพื่อจะมาหาวิธีรักษาโรค ผัวอายุ ๘๔ ปี เมียอายุ ๗๒ ปี ผัวเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ เมียเป็นโรคเท้าช้าง จูงกันมาสองคนตายาย หลวงปู่เห็นแล้วสมเพช เลยนั่งคุยด้วย ได้ความว่า
      
       ผัวเมียคู่นี้เป็นข้าราชการบำนาญทั้งคู่ มีลูก ๔ คน เป็นอาจารย์ เป็นวิศวะ เป็นตำรวจ เป็นทหาร ทุกคนมีครอบครัวกันหมดแล้ว แยกย้ายไปอยู่กับครอบครัวของตน ไม่มีใครอยู่เลี้ยงดูพ่อแม่เลย เขาอยู่กันสองคนตายายอย่างนี้ บ้านอยู่แถวบางเขน
      
       หลวงปู่ถามว่า "ลูกๆมาหาบ้างมั้ย"
      
       "เดือนหนึ่งจะมาครั้งหนึ่ง ถ้าว่างเค้าก็จะมา แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ เพราะเค้ามีภารกิจ"
      
       "แล้วลูกอยู่แถวไหนล่ะ"
      
       "ก็อยู่บางกะปิ พระโขนง แถวสะพานใหม่ดอนเมือง"
      
       หลวงปู่มานั่งนึกดูว่า เออ...สมัยตอนที่ผัวเมียคู่นี้มีลูก คงคิดอย่างนี้กับพ่อแม่ เวลานี้ถึงได้รับกรรมอย่างนี้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดให้เค้าฟังหรอก กลัวเค้าจะเสียใจ หลวงปู่คิดต่อไปว่า ถ้าตอนที่พวกเค้าเลี้ยงลูก เวลาลูกร้องไห้ตอนดึกๆ หรือลูกโดนมดกัด ตกน้ำตกท่า ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจไยดี อยากนอนหลับให้สบายอย่างเดียว ป่านนี้ลูกคงตายไปแล้ว แต่ถ้าเค้าเลี้ยงลูก ด้วยความเอื้ออาทร ความการุณ ทำไมลูกไม่คิดอาทรการุณต่อพ่อแม่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างเล่า
      
       ดูเถอะสองคนผัวเมียแก่ๆต้องมานั่งเลี้ยงกันเอง ผัวเลี้ยงเมีย เมียเลี้ยงผัว หยอดน้ำข้าวต้มกัน ผัวอายุ ๘๐ กว่าเป็นโรคอย่างนั้นด้วยก็เดินไม่ค่อยไหว ต้องย่องแย่งโบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปซื้อกับข้าวที่ตลาดมาทำกินเอง
      
       นี่แหละคือสิ่งที่เราทอดทิ้ง สังคมมันเหลวแหลก บ้านพักคนชรากิดขึ้นก็เพราะสังคมครอบครัวมันล่มสลาย เหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าพวกเราสอนมาอย่างนั้น ก็เด็กๆน่ะพอหลุดจากนมแม่ปั๊บก็ผลักมันออกจากอ้อมอกพ่อแม่ ให้ไปอยู่ตามโรงเรียนตามครูตามเพื่อน พอถามว่าทำไมต้องเร็วอย่างนั้น ก็บอกว่าเดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะแข่งกับคนอื่นไม่ได้ จะสอบไม่เก่ง จะเรียนไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ทีนี้พอเด็กใช้เวลาอยู่ในสังคมเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ มันก็มองว่าสังคมเพื่อนสำคัญกว่าสังคมครอบครัว เวลามีปัญหามันก็หันไปหาเพื่อน ถ้าไปเจอเพื่อนดี ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปเจอเพื่อนอัปรีย์ พาไปติดยาส้องเสพสิ่งเลวร้าย ทีนี้เราจะมาโทษใครเพราะเรานั่นแหละเป็นคนส่งผลักไสให้มันไปเลือกสิ่งนั้น เอง
      
       อย่างลูกไก่กับแม่ไก่ แม่มันยังสอนว่า "ลูก ไอ้ที่มีขนเหมือนแม่น่ะ ไม่ใช่แม่เสมอไปนะลูก นั่นเค้าเรียกเป็ด เนี่ยะเค้าเรียกไก่ตัวผู้ แต่ไอ้ที่มันบินได้สูงๆน่ะมันนกเหยี่ยว มันก็มีขนเหมือนแม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นลูกอย่าไปคบเหยี่ยว อย่าไปใกล้เป็ดนะ เผ่าพันธุ์ของลูก ลูกต้องเข้าใกล้"
      
       แต่คนเราสมัยนี้พอออกจากไข่ กะเทาะเปลือกแป๊ะ ก็ไล่ออกไปนอกอกพ่อแม่ แล้วเด็กมันก็ไม่รู้ว่า ไอ้นั่นมีขนเหมือนแม่เรา เราต้องเข้าไปหา สุดท้ายก็กลายเป็นลูกเหยี่ยว ลูกดสือ ลูกตะเข้ เราก็เลยติดเหยี่ยวติดเสือติดตะเข้ไปด้วย แล้วก็มาบ่นกันว่า "ลูกเราทำไมไม่ดีเลย" นี่ก็เพราะเราเป็นคนผลักดันให้มันออกไปเอง จึงต้องมารับผลกรรมที่เกิดขึ้น
      
       หลวงปู่เคยถามบางคนที่มาวัดว่า มาทำไม เขาบอกว่า มาทำบุญเอาดอกมะลิมถวาย เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แม่ เพราะวันนี้วันแม่ หลวงปู่เลยเทศนาไปว่า
      
       "โอ้โห นึกถึงแม่แค่วันนี้วันเดียว นอกนั้นไม่เคยนึกเลย อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน"
      
       หลวงปู่พูดมาตลอดว่า อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันพ่อ อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันแม่ จงคิดว่าวันพ่อแม่ต้องมีทุกวัน ถ้าคิดว่าวันนี้เป็นวันพ่อ วันนั้นเป็นวันแม่ ก็แสดงว่าที่ผ่านมาน่ะ ไม่เคยดีต่อพ่อแม่เลยใช่มั้ย แล้วอย่างนี้จะมีลูกมาทำอะไร การให้พ่อแม่อบอุ่นแค่วันเดียวใน ๓๖๕ วัน หลวงปู่มองว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย อยากจะย้ำบอกตรงนี้ว่า
      
       อย่าคิดถึงพ่อเป็นวัน อย่าไหว้แม่เป็นนาที แต่จงคิดถึงพ่อแม่ทุกวัน เวลา นาที เดือน ปี และลมหายใจที่เข้าออก จำไว้ว่าเลือดของเรา เนื้อของเรา กระดูกของเรา ไขมันแห่งเรา ทุกอย่างในร่างกายเรา เป็นของพ่อและแม่ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ต้องทำสิ่งดีๆให้กับพ่อแม่ ต้องทำให้พ่อแม่เจริญหู เจริญตา เจริญใจ เจริญปัญญา และก็เจริญสุข อย่างนี้เรียกว่าลูกกตัญญู
      
       ฉะนั้น ถ้าคิดจะไหว้พ่อคิดจะบูชาแม่ จงไหว้ทุกวัน บูชาทุกวัน แล้วเราก็จะรู้ว่า เรามีความกตัญญูรู้คุณ ผู้ที่มีสัญลักษณ์ของคนดีคือคนกตัญญูรู้คุณคน กตเวทิตา ตอบแทนพระคุณคน เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดจะเป็นคนดีอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง และมีเทพพรหมอารักษ์อภิบาลรักษาอยู่ตลอดเวลานั้น เราก็ต้องทำตนให้เป็นผู้รู้คุณคน และตอบแทนบุญคุณเขา ไม่ใช่ตอบแทนตอนที่เขาตาย ต้องตอบแทนตอนที่เขาอยู่ด้วย ทำดีให้เขาได้ทุกเวลาที่มีโอกาสทำ เอื้ออาทรให้เขาทุกครั้งที่มีโอกาสได้เอื้อ
      
       การไปบวชหน้าไฟเพื่อให้พ่อแม่สบายใจน่ะ ทำไมต้องไปบวชตอนนั้น บวชก่อนไฟไม่ได้เหรอ บวชก่อนที่พ่อแม่จะตายได้มั้ย ตอนที่พ่อแม่ตายแล้วเราบวชเนี่ยะมันไม่แย่กว่าเหรอ ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็จะรู้ว่า ไอ้หน้าไฟน่ะ มันไม่ได้สำคัญเท่ากับบวชต่อหน้าตอนยังเป็นหรอก ถ้าจ้องที่จะบวชหน้าไฟอย่างเดียว แล้วหน้าน้ำหน้าลมไม่สนใจ ปล่อยให้มันแห้งชะเง้อ อย่างนี้หลวงปู่ไม่สนับสนุน
      
       ชั่วชีวิตของหลวงปู่ ไม่เคยทำอะไรที่ไม่เจริญตา ไม่เจริญปัญญา และไม่เจริญใจ ให้กับพ่อแม่เลย ไม่เคยหาเรื่องเดือดร้อนเสียหายมาให้ ไม่เคยแบมือขอสตางค์ หลวงปู่คิดเสมอว่า สองขายืนได้ สองมือทำได้ หนึ่งหัวคิดได้ หนึ่งตัวตั้งมั่น นั่นคือพรอันวิเศษที่พ่อแม่ได้ให้ไว้ คิดอย่างนี้เสมอ นอกจากไม่ทำให้เดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูลอีกด้วย ถามว่านี่เป็นการกตัญญูมั้ย หลวงปู่ไม่ใช่คนกตัญญู แต่เป็นคนรู้คุณคน และก็หาวิธีตอบแทนคุณอย่างสูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่เลี้ยงเค้าในชาติปัจจุบันเท่านั้น
      
       ฉะนั้น ขอให้พวกเราทุกคน จงมีพ่อแม่ทุกลมหายใจเข้าออก อย่าคิดถึงแต่พ่อแม่เป็นบางครั้งบางคราว บางครู่บางยาม หรือบางเรื่องบางอย่างเท่านั้น
      
       ************
      
       ลูกรัก
       เจ้าจงเป็นอยู่โดยเตรียมพร้อมที่จะโต
       ถ้าโตไม่ได้ก็จงรู้จักเล็ก จะได้ไม่ตาย
       ไม่ใช่รอโตจนลืมตาย แล้วไม่รู้ว่าเล็กเป็นอย่างไร
       อยู่เพื่อตายลูกเดียว
       รู้จักเล็กเพื่อรอโต แต่ไม่ใช่รอโตจนลืมตาย
      
       ลูกรัก
       ถ้าเจ้าเอาคุณธรรมออกจากตัวเจ้า
       เจ้าก็มิได้ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
       เพราะมันก็มีกิน กาม เกียรติ โกรธ กลัว
       เหมือนกับที่เจ้ามีอยู่
      
       ลูกรัก
       มรดกของปู่เจ้า ที่มอบให้กับพ่อ
       คือคำสั่งที่ว่าเจ้าจงเป็นที่พึ่ง
       ของตนเองได้และทำตน
       ให้ผู้อื่นพึ่งได้ง่าย
      
       ลูกรัก
       จงถือเสมือนว่า
       เสียงด่าว่า ตักเตือน
       เป็นเสมือนเสียงเพลง
       และบทบรรเลง แห่งความสุขปลุกให้ตื่น